วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สัตว์ป่าสงวน

ลิง
ควายป่ามีรูปร่างคล้ายควายบ้าน แต่ตัวใหญ่กว่ามาก หนักได้ถึง 800-1,200 กิโลกรัมในขณะที่ควายบ้านมักหนักไม่ถึง 500 กิโลกรัม ลำตัวยาว 2.4-3 เมตร แข็งแรง มีวงเขากว้างได้ถึงกว่าสองเมตร กว้างที่สุดในบรรดาสัตว์จำพวกวัวควายทั้งหมด สีลำตัวดำ หรือเทาเข้ม ขาทั้งสี่สีขาวหรือสีเทาเหมือนใส่ถุงเท้า ที่หน้าอกมีเสี้ยวแบบพระจันทร์เสี้ยวสีขาวเหมือนใส่สร้อยคอ
ควายป่ามีนิสัยดุร้าย แม้จะมีขนาดใหญ่โตแต่ก็ปราดเปรียวมาก ชอบอาศัยอยู่ในป่าโปร่ง ทุ่งหญ้าที่ชื้นแฉะ กินหญ้าและพืชในน้ำเป็นอาหาร หากินเวลาเช้าและเย็น เวลากลางวันจะนอนในพุ่มไม้ที่รกทึบ หรือนอนแช่ปลัก บางครั้งอาจมุดหายไปในปลักทั้งตัวโดยโผล่จมูกขึ้นมาเท่านั้น การแช่ปลักนอกจากช่วยระบายความร้อนแล้ว ยังช่วยกำจัดแมลงรบกวนตามผิวหนังได้อีกด้วย
ปกติควายป่ามักชอบอยู่ที่ต่ำ แต่ในเนปาล ควายป่ามักพบในที่สูงถึง 2,800 เมตร
ควายป่าอาศัยกันเป็นฝูงโดยมีสมาชิกในฝูงเป็นตัวเมียและควายเด็ก มีตัวเมียเป็นจ่าฝูง ส่วนควายหนุ่มที่ไม่ได้ร่วมฝูงตัวเมียก็หากินโดยลำพัง หรืออาจรวมกลุ่มกันเป็นฝูงควายหนุ่มราวสิบตัว ในฤดูผสมพันธุ์จะอาศัยรวมฝูงกับตัวเมีย ควายหนุ่มจะมีการประลองกำลังกันเพื่อชิงสิทธิ์ในการครอบครองตัวเมีย แต่การต่อสู้นี้มักไม่ดุเดือดรุนแรงมากนัก
เดิมควายป่ามีเขตกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตะวันออกของเนปาลและอินเดียมาจนถึงเวียดนาม ไปทางใต้จนถึงมาเลเซีย แต่ปัจจุบันพบได้เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ในอินเดียพบในอัสสัมและมัธยประเทศ ควายป่าในพื้นที่นี้อาจไม่มีสายเลือดควายป่าแท้หลงเหลืออยู่เลยก็ได้ เนื่องจากมีการผสมกับควายบ้าน ส่วนพวกที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติมานัสของภูฏานยังเป็นพันธุ์แท้อยู่ ในประเทศไทยคาดว่าเหลืออยู่เพียง 40-50 ตัวและพบได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเท่านั้น จำนวนประชากรทั่วโลกอาจเหลือไม่ถึง 200 ตัว
ภัยคุกคามสำคัญที่สุดของควายป่าคือ การผสมข้ามพันธุ์กับควายบ้าน การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย การล่า และการติดโรคและปรสิตที่ติดต่อมาจากควายบ้าน
ในฤดูฝน ควายป่าตัวผู้จะเริ่มเข้าฝูงตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ แต่ไม่ได้มาครอบครองฝูงหรือตัวเมียตัวใด ตัวเมียจะติดสัดเป็นเวลา 11 จนถึง 72 ชั่วโมง ควายตัวผู้จะตรวจสอบความพร้อมของตัวเมียด้วยการดมปัสสาวะและก้น หลังจากผสมพันธุ์เสร็จแล้วตัวผู้จะถูกขับออกจากฝูง แม่ควายป่าตั้งท้องนาน 300-340 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกควายหย่านมได้เมื่ออายุ 6-9 เดือน พออายุได้ 18 เดือนก็เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
ในธรรมชาติควายป่ามีอายุขัยประมาณ 25 แต่ในแหล่งเพาะเลี้ยงอาจอยู่ได้ถึง 29 ปี




นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นสมาชิกหนึ่งในสองของนกนางแอ่นแม่น้ำในวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae อีกชนิดหนึ่งคือนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา(Pseudochelidon eurystomina) ที่พบในลุ่มน้ำคองโกในทวีปแอฟริกา ทั้งสองชนิดมีคุณลักษณะพิเศษที่แยกนกทั้งสองชนิดออกจากนกนางแอ่นชนิดอื่น ประกอบไปด้วย เท้าและขาที่แข็งแรง และปากอวบ จากลักษณะที่ต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่นและแยกไกลกันทางภูมิศาสตร์ของนกนางแอ่นทั้งสองชนิดแสดงว่านกเหล่านี้เป็นประชากรส่วนที่เหลือของกลุ่มสปีชีส์ที่แยกออกจากเชื้อสายหลักของนกนางแอ่นก่อนที่จะมีการวิวัฒนาการ
ชื่อสกุล Pseudochelidon (Hartlaub, 1861) มาจากภาษากรีกโบราณ คำหน้า ψευδο/pseudo แปลว่า "ปลอม" และคำหลัง χελιδον/chelidôn แปลว่า "นกนางแอ่น" และชื่อสปีชีส์ได้รับพระราชทานพระนามของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดามาตั้งชื่อนกชนิดนี้
ชนิดของ Pseudochelidon ทั้งเอเชียและแอฟริกาแตกต่างกันในขนาดของปากและตาแสดงว่ามีระบบนิเวศวิทยาการกินอาหารที่แตกต่างกัน นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอาจกินอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่า สปีชีส์ในประเทศไทยนั้นปากพอง ปากอ้าแข็ง (เนื้อด้านในของปาก) ไม่เหมือนนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาที่นุ่ม มีเนื้อมาก และปากอ้าได้กว้างน้อยกว่า
ในปี พ.ศ. 2515 มีการเสนอว่านกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมีลักษณะต่างจากนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาอย่างเพียงพอที่จะแยกออกเป็นสกุล Eurochelidon แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมนักจากผู้แต่งคนอื่นๆในภายหลัง อย่างไรก็ตามองค์การชีวปักษานานาชาติ (BirdLife International)ได้ใช้เป็นชื่อสกุล Eurochelidon ในปัจจุบัน

ค้นพบ

ในปี พ.ศ. 2510 นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบันคือสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย) ได้ทำการดักจับนกนางแอ่นจากบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์[6] เพื่อทำการศึกษาเรื่องการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์ต่างๆในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และในระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 กิตติ ทองลงยา ได้ค้นพบนกตัวหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะแตกต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่นที่จับได้ นกตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่านกนางแอ่นทั่วไปมาก ขนเป็นสีดำคล้ำ ตาขาวและใหญ่ ปากและสะโพกสีขาว หางกลมมน ขนหางคู่กลางมีแกนยื่นออกมาอย่างชัดเจน
จากการตรวจสอบขั้นต้นยังไม่สามารถที่จะจำแนกนกชนิดนี้เข้ากับนกสกุลใดๆของประเทศไทยได้ กิตติจึงได้เก็บตัวอย่างของตัวเบียน คือ เห็บ เหา และไร ของนกส่งไปให้สถาบันสมิธโซเนียนและพิพิธภัณฑ์บริติชช่วยตรวจและวิเคราะห์หาชนิดของนกดังกล่าว ผลก็คือมันมีเหาชนิดเดียวกับนกนางแอ่นแม่น้ำสกุลPseudochelidon ซึ่งพบในแถบลุ่มน้ำคองโกของแอฟริกา และจากนั้นได้ทำการเปรียบเทียบลักษณะอวัยวะต่างๆ ภายในของนกตัวนี้กับตัวอย่างนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา (Pseudochelidoninal eurystominal) จึงลงความเห็นได้ว่านกตัวนี้จะต้องเป็นนกในสกุล Pseudochelidon อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่านกในสกุลนี้เคยมีเพียงชนิดเดียวคือนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา ดังนั้นนกที่ค้นพบที่บึงบอระเพ็ดนี้ นักปักษีวิทยาทั่วโลกจึงยอมรับว่าเป็นนกสกุล Pseudochelidon ชนิดใหม่ของโลก
นักปักษีวิทยาของเมืองไทยต่างมีความเห็นว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดา (พระยศขณะนั้น) ทรงเป็นผู้ที่สนพระทัยในเรื่องธรรมชาติวิทยาของเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง จึงขอพระราชทานนามมาตั้งชื่อนกชนิดนี้ว่า “นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร” และมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า White-eyed River Martin (Pseudochelidon sirintarae)

ลักษณะ

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นนกนางแอ่นขนาดกลาง มีความยาวจากปากจดหางประมาณ 12 -13 ซม. ความยาวเฉพาะหาง มากกว่า 9 ซม. ลำตัวสีดำสนิท มีเหลือบสีน้ำเงิน-เขียวเข้มบางส่วน บริเวณตะโพกสีขาวแยกบริเวณหลังสีดำเหลือบสีน้ำเงิน-เขียวเข้มและตอนบนของหางสีเดียวกันออกจากกัน หัวสีเข้มกว่าหลัง บริเวณคางมีกระจุกขนสีดำคล้ายกำมะหยี่ไปถึงหลังส่วนบน ปีกสีดำ หางสีดำเหลือบเขียว ขนหางมนกลมแต่ขนคู่กลางมีแกนยื่นออกมาเป็นเส้นเรียวยาวประมาณ 10 ซม.ปลายแผ่เล็กน้อย มองเห็นได้ชัดเจน
ชาวบ้านในบริเวณที่ค้นพบเรียกนกชนิดนี้ว่า “นกตาพอง” เนื่องจากลักษณะของตาที่มีวงขาวล้อมรอบ ขอบตาขาวเด่นชัด นัยน์ตาและม่านตาสีขาวอมชมพูเรื่อๆ ปากกว้างสีเหลืองสดแกมเขียว มีแต้มสีดำรูปโค้งที่ปากบน ขาและเท้าใหญ่แข็งแรงมีสีชมพู ไม่ส่งเสียงร้องในฤดูหนาว และเสียงร้องในช่วงผสมพันธุ์ยังไม่ทราบ
ทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายกัน นกวัยอ่อนมีหัวสีน้ำตาล คอแกมขาว ลำตัวออกสีน้ำตาลมากกว่านกโตเต็มวัย ไม่มีขนเส้นเรียวเล็กที่ปลายหาง นกวัยอ่อนจะผลัดขนในเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์

อุปนิสัย

แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรนั้นยังไม่มีการค้นพบ จึงไม่ทราบในชีววิทยาการขยายพันธุ์ของนกเลย แต่คาดกันว่ามันน่าจะคล้ายกับนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาโดยทำรังตามโพรงบริเวณตลิ่งทรายริมแม่น้ำวางไข่ชุดละ 2-3 ฟอง อาจเป็นในเดือนเมษายน-พฤษภาคมก่อนฝนจากมรสุมจะทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้น แต่ความแตกต่างทางกายวิภาคของรูปร่างเท้าและขาทำให้รู้ว่ามันไม่สามารถขุดโพรงได้ ในฤดูหนาวพบว่ามันเกาะนอนอยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิดอื่นๆที่เกาะอยู่ตามใบอ้อและใบสนุ่น บางครั้งก็พบอยู่ในกลุ่มนกกระจาบและนกจาบปีกอ่อน
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรกินแมลงเป็นอาหารเหมือนกับนกนางแอ่นชนิดอื่นรวมถึงพวกด้วงด้วย มันจับเหยื่อโดยการโฉบจับในอากาศ จากขนาดและโครงสร้างปากที่พิเศษของนก มันอาจกินแมลงที่ตัวใหญ่กว่านกนางแอ่นชนิดอื่น นกชนิดนี้มีลักษณะการบินที่ บินเรื่อย ลอยตัว ไม่รวดเร็วเท่านกนางแอ่นชนิดอื่น และก็เหมือนกับนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาที่ไม่ค่อยมีพฤติกรรมเกาะคอนจากรูปทรงเท้าที่ผิดไปจากนกนางแอ่นชนิดอื่นและการที่พบโคลนที่เท้าในตัวอย่างหนึ่งของนกชนิดนี้แสดงว่านกชนิดนี้อาจจะอยู่บนพื้นมากกว่าเกาะคอน
พาเมลา ซี. รัสมูสเซน (Pamela C. Rasmussen) เสนอว่าด้วยดวงตาที่ใหญ่ผิดปกติ นกชนิดนี้อาจหากินเวลากลางคืนหรืออย่างน้อยก็ช่วงพลบค่ำหรือรุ่งเช้า ด้วยปัจจัยนี้จึงทำให้มันดูลึกลับและอธิบายได้บางส่วนว่าทำไมนกที่เหลือถึงไม่พบเห็นมาเป็นเวลานานแล้ว แม้ว่าข้อเท็จจริงที่คาดว่าตัวอย่างแรกจับมาได้ขณะเกาะคอนในเวลากลางคืนในพงอ้ออาจจะขัดแย้ง แต่อาจเป็นไปได้ว่ามันไม่ได้ถูกจับขณะเกาะคอน หรือพฤติกรรมของมันอาจจะสามารถหากินได้ทั้งทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืนขึ้นอยู่กับฤดูกาลหรือสภาวะแวดล้อม

แหล่งที่อยู่อาศัยและการแพร่กระจาย

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรพบในบริเวณบึงบอระเพ็ด เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคม คาดว่าถิ่นอาศัยในช่วงฤดูหนาวจะเป็นบริเวณใกล้เคียงกับแหล่งน้ำจืดที่เปิดโล่งเพื่อสำหรับหาอาหาร และมีอ้อและพืชน้ำสำหรับจับคอนนอนในเวลากลางคืน นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอาจเป็นนกอพยพ แต่พื้นที่แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ยังไม่เป็นที่ทราบ อาจเป็นหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านอย่างภาคเหนือของประเทศไทยหรือทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน อย่างไรก็ตามมีการอ้างว่าลักษณะของนกชนิดนี้ในม้วนภาพเขียนจีนนั้นคล้ายกับนกแอ่นทุ่งใหญ่ (Glareola maldivarum) มีการเสนอว่าเป็นไปได้ที่ประเทศกัมพูชาและพม่าเป็นถิ่นอาศัยของนกชนิดนี้ และยังมีข้อสงสัยว่ามันจะเป็นนกอพยพเสียทั้งหมดหรือไม่
ถ้าถิ่นอาศัยของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเหมือนกับนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา ถิ่นอาศัยจะเป็นป่าในหุบเขาที่มีแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน มีตลิ่งทรายและเกาะสำหรับทำรัง และมีป่าไม้มากพอที่นกจะสามารถจับแมลงกินได้

สถานภาพในปัจจุบัน


อนุสาวรีย์นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่บึงบอระเพ็ด
นกเจ้าฟ้าหญิงสิริธรเป็นนกเฉพาะถิ่น (endermic) ที่พบได้เพียงแห่งเดียวในโลกคือที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ จากรายงานการพบเห็นในปี พ.ศ. 2515, 2520 และ 2523 และก็ไม่มีการพบเห็นอีกเลยจนปัจจุบัน แม้จะมีรายงานว่าพบนกในปี พ.ศ. 2529 แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยัน สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ(IUCN) และ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (2540) จัดนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์อย่างยิ่งมีการประมาณจำนวนของนกชนิดนี้ว่าลดลงหรือจะลดลงถึง 80% ภายในสามรุ่น IUCN จะไม่พิจารณาว่านกชนิดสูญพันธุ์จนกว่าได้ดำเนินการสำรวจเป้าหมายครอบคลุมแล้ว แต่นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทยหรือจากโลก
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรจัดอยู่ในบัญชีที่ 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (CITES) นอกจากนี้นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรยังจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 อีกด้วย

สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์

ประชากรในธรรมชาติของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเชื่อว่ามีอยู่น้อยมาก เพราะเป็นนกชนิดโบราณที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน แม้นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรจะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย แต่ก็ยังถูกจับไปพร้อมๆกับนกนางแอ่นชนิดอื่นในฤดูหนาวของแต่ละปีเพื่อขายเป็นอาหารหรือเป็นนกปล่อยทำบุญในพุทธศาสนา และหลังจากการค้นพบ มีการดักจับนกได้ถึงเกือบ 120 ตัวเพื่อขายให้กับผู้อำนวยการสถานีประมงนครสวรรค์ และแน่นอนว่าไม่สามารถรักษาชีวิตของนกเหล่านั้นไว้ได้และด้วยเพราะมีจำนวนประชากรเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆทำให้ไม่สามารถพบเห็นได้ง่ายนักแต่อาจมีรายงานที่ไม่ยืนยันว่าพบเห็นนกในประเทศกัมพูชาในปี พ.ศ. 2547
มีการลดจำนวนลงอย่างมากของประชากรนกนางแอ่นในบึงบอระเพ็ดจากหนึ่งแสนตัวในราวปี พ.ศ. 2513 เหลือเพียง 8,000 ตัวที่นับได้ในฤดูหนาวของปี พ.ศ. 2523-2524 แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจ แต่เหตุการณ์นี้คือการแสดงถึงการลดลงหรือเปลี่ยนถิ่นเนื่องมาจากการถูกรบกวน สาเหตุอื่นที่ทำให้นกชนิดนี้ลดจำนวนลงประกอบด้วย จากการรบกวนบริเวณตลิ่งทรายแม่น้ำ การสร้างเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำ การแก้ไขอุทกภัย การประมง การตัดไม้ทำลายป่า และการเปลี่ยนแปลงถิ่นอาศัยเพื่อการเกษตร อย่างน้อยนกนางแอ่นก็ยังชอบจับคอนตามพืชน้ำในบึงบอระเพ็ดมากกว่าตามไร่อ้อย แต่ก็ไม่ค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรในฝูงนกจับคอนเหล่านั้น
บึงบอระเพ็ดได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์เพื่อพยายามจะปกป้องนกชนิดนี้ แต่จากการสำรวจค้นหานกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่เหลือรอดซึ่งประกอบด้วยการสำรวจที่บึงบอระเพ็ดหลายครั้ง การสำรวจแม่น้ำยมแม่น้ำน่าน และแม่น้ำวังในภาคเหนือของประเทศไทยปี พ.ศ. 2512 และการสำรวจของแม่น้ำในภาคเหนือของประเทศลาวในปี พ.ศ. 2539 กลับประสบความล้มเหลวในการค้นหานกชนิดนี้

การเผยแพร่ในสื่ออื่น

มีการจัดพิมพ์แสตมป์รูปนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรจำนวน 3,000,000 ดวงร่วมกับนกชนิดอื่นอีก 3 ชนิดคือนกแซวสวรรค์ขาว-แดง นกพญาปากกว้างหางยาว และนกติตสุลต่านในชุดนกไทย ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2518 แสตมป์มีราคา 75 สตางค์[18] และในปี พ.ศ. 2517 มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าเป็นเหรียญทองคำมีราคาหน้าเหรียญ 5,000 บาทซึ่งด้านหนึ่งเป็นรูปรูปนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอยู่ในท่าบิน
นกกระเรียน เป็นนกในตระกูลนกกระเรียนที่สูงที่สุด และเป็นนกบินได้ที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 176 เซนติเมตร หนัก 6.35 กิโลกรัม ปีกกว้าง 240 เซนติเมตร ลำตัวสีเทาอ่อน กระหม่อมไม่มีขน มีหนังเปลือยเปล่าสีอมเขียว ส่วนคอและใบหน้าเปลือยเปล่า หนังขุขระสีแดงหรือส้ม ที่หูมีกระจุกขนสีขาวอมเทาขนาดเล็ก
นกกระเรียนพันธุ์อินเดีย (G. a. antigone) มีขนรอบคอสีขาว ขาและนิ้วสีแดง ตัวผู้และตัวเมียลักษณะเกือบเหมือนกัน ตัวเมียเล็กกว่าเล็กน้อย พันธุ์อินเดียกระจายพันธุ์อยู่ในที่ราบทางเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกของประเทศอินเดีย และทางตะวันตกของที่ราบต่ำทีไร (Terai) ในประเทศเนปาล พบบ้างในประเทศปากีสถาน นกกระเรียนที่พบในประเทศไทยคือนกกระเรียนพันธุ์ตะวันออก (G. a. sharpii) เคยอาศัยอยู่ทั่วไปในคาบสุมทรอินโดจีน แต่ในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาจำนวนได้ลดลงอย่างมาก ปัจจุบันเหลืออยู่บ้างในประเทศพม่า เวียดนาม และกัมพูชา ส่วนในมณฑลยูนนานของประเทศจีนและประเทศลาวอาจเหลือน้อยมากหรืออาจหมดไปแล้ว ส่วนในประเทศไทยได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 20 แล้ว นกกระเรียนอีกพันธุ์หนึ่งคือนกกระเรียนพันธุ์ออสเตรเลีย (G. a. gilli) อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย
นกกระเรียนอาศัยอยู่ในพื้นที่หลายประเภท แต่พื้นที่ที่ชอบที่สุดได้แก่หนองน้ำขนาดเล็กที่มีเฉพาะฤดูกาล พื้นที่ราบที่ถูกน้ำท่วม พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลมาก ไร่ที่เพิ่งไถ และทุ่งนา ชอบกินหัวพืชใต้ดิน และกินสัตว์ขนาดเล็กด้วย
ในประเทศอินเดีย นกกระเรียนส่วนใหญ่เป็นนกประจำถิ่น แต่นกกระเรียนในอินโดจีนและออสเตรเลียอาจมีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล นกกระเรียนอินเดียค่อนข้างปรับตัวเข้ากับชุมชนได้ดี นกกระเรียนพันธุ์ไทยที่อยู่ในบางส่วนของประเทศพม่าก็ปรับตัวเข้ากับชุมชนได้ดีเช่นกัน
การเกี้ยวพาราสีของนกกระเรียนน่าชมและน่าฟังมาก นกกระเรียนทุกชนิดจะขับร้องเพลงเป็นเพลงเสียงประสาน น้ำเสียงของตัวผู้และตัวเมียต่างกันแต่ร้องในทำนองเดียวกันและประสานกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งคู่จะทำท่าทางเหมือนเต้นรำโดยแอ่นคอโค้งไปด้านหลังจนปากชี้ฟ้าและส่งเสียงร้อง ขณะเต้นรำตัวผู้จะเหยียดปีกลู่ไปด้านหลัง ส่วนตัวเมียจะเก็บปีกไว้เสมอ นอกจากการเต้นรำแล้วนกกระเรียนอาจแสดงกริยาอย่างอื่นอีกเช่น กระโดด วิ่ง ก้มหัว จิกหรือพุ้ยหญ้า และกระพือปีก
สถานที่ทำรังของนกกระเรียนมีหลายที่ เช่น ข้างลำคลอง กลางทุ่งนา บางครั้งทำรังอยู่บนที่น้ำตื้นที่มีพืชน้ำโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ในอินเดียนกกระเรียนทำรังด้วยต้นข้าวในทุ่งนาที่มีน้ำท่วมขัง
แม่นกมักวางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ทั้งพ่อและแม่นกจะช่วยกันกกไข่เป็นเวลาประมาณ 31-34 วัน ระหว่างนี้ตัวผู้มักต้องรับบทเป็นผู้ปกป้องรังจากอันตรายรอบด้านด้วย ลูกนกจะเริ่มบินได้เมื่ออายุได้ 50-65 วัน
ภัยหลักที่คุกคามนกกระเรียนคือการที่พื้นที่ชุ่มน้ำถูกทำลาย การลักลอบจับลูกนกไปขายก็ทำให้จำนวนของนกกระเรียนลดลง ปัจจุบันคาดว่าจำนวนประชากรนกกระเรียนในโลกอยู่ในช่วง 15,500-20,000 ตัว มีแนวโน้มลดลงและเสี่ยงสูญพันธุ์ ไซเตสจัดนกกระเรียนไว้ในบัญชีหมายเลขสอง เป็นหนึ่งใน 15 สัตว์ป่าสงวนของไทย
แรด เป็นสัตว์กีบคี่ มีกีบข้างละสามกีบ หนักราว 1.5-2 ตัน สูงราว 160-175 เซนติเมตร ความยาวหัว-ลำตัว 300-320 เซนติเมตร หางยาว 70 เซนติเมตร ตามลำตัวมีสีเทาหม่น มีเอกลักษณ์สำคัญคือมีนอซึ่งเป็นตอแหลมขึ้นที่เหนือจมูก นอแรดส่วนใหญ่ยาวไม่ถึง 15 เซนติเมตร นอที่ยาวที่สุดที่เคยพบยาว 25 เซนติเมตร แรดตัวเมียตัวใหญ่กว่าตัวผู้ แต่ไม่มีนอ หรือมีเพียงฐานนอนูนขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ริมฝีผากบนแหลมเป็นจงอยช่วยในการหยิบเกี่ยวยอดไม้มากินได้ หนังหนามีรอยพับจนดูเป็นเหมือนชุดเกราะ มีรอบพับข้ามลำตัวสามรอย คือที่ท้ายทอย หัวไหล่ และสะโพก ลักษณะทั่วไปคล้ายแรดอินเดีย แต่รูปร่างเล็กกว่า หัวเล็กกว่ามาก และมีรอยพับของหนังที่คอน้อยกว่า
แรดเป็นสัตว์ที่ถือสันโดษมาก หากินโดยลำพังเสมอ ยกเว้นในช่วงผสมพันธุ์หรือช่วงที่แม่ยังเลี้ยงดูลูก แรดชอบอาศัยอยู่ในป่าฝนที่แน่นทึบ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ มีปลักโคลนอยู่ทั่วไป ชอบอาศัยในป่าต่ำ แต่ก็เคยมีรายงานพบในที่สูงกว่า 1,000 เมตร อาหารหลักคือใบไม้ ยอดอ่อน และผลไม้สุก เป็นต้น
แรดตัวเมียมีเขตหากินกว้างประมาณ 2.5-13.5 ตารางกิโลเมตรและซ้อนเหลื่อมกัน ตัวผู้มีเขตหากินกว้างกว่าคือราว 21 ตารางกิโลเมตร
แรดมีสายตาไม่ดี แต่มีหูและจมูกดีมาก
ในอดีตแรดเคยหากินอยู่ทั่วพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่เบงกอลมาทางตะวันออกจนถึงพม่า ไทย กัมพูชา ลาว เรื่อยไปจนถึงเวียดนาม ทางใต้ก็แผ่คลุมพื้นที่ตลอดคาบสมุทรมลายู รวมถึงเกาะสุมาตราและชวา ทางเหนือก็มีเขตหากินไปไกลถึงมณฑลหูหนานและเสฉวน เมื่อราว 150 ปีก่อน ยังพบอยู่ในสามพื้นที่ ได้แก่ชนิดย่อย inermis อยู่ในเบงกอลจนถึงอัสสัมและพม่า ปัจจุบันเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ชนิดย่อย annamiticus พบอยู่ทั่วไปในภาคตะวันออกของไทย กัมพูชา และเวียดนาม ส่วนชนิดย่อย sondaicus พบอยู่ในเทือกเขาตระนาวศรีเรื่อยลงไปในคาบสมุทรมลายู สุมาตรา และชวา
ปัจจุบันแรดได้สูญหายไปจากพื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่แล้ว คงเหลืออยู่เพียงสองที่เท่านั้นคือที่คาบสมุทรอูจุงคูลอนทางตะวันตกของเกาะชวา และอีกที่หนึ่งซึ่งเพิ่งพบเมื่อปี 2531 คือริมแม่น้ำดองไนในจังหวัดลัมดองของเวียดนาม ซึ่งพบเพียงไม่ถึง 20 ตัวเท่านั้น
ในช่วงทศวรรษ 1960 จำนวนประชากรแรดในอุทยานแห่งชาติอูจุงคูลอนเหลือน้อยมากเพียง 20-30 ตัวเท่านั้น แต่หลังจากการคุ้มครองอย่างเข้มงวดของทางการอินโดนีเซียทำให้จำนวนเริ่มมากขึ้นจนมีอยู่ประมาณ 50 ตัว ส่วนในพื้นที่อื่นมีรายงานว่าพบเห็นบ้างแต่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ยืนยันได้คือในปี พ.ศ. 2531 ที่นายพรานล่าแรดได้และส่งกระดูกไปฮานอย
แรดตัวเมียถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ราว 3-4 ปี ไม่มีฤดูผสมพันธ์ที่แน่นอน คาบการเป็นสัดนานราว 16 เดือน ออกลูกครั้งละตัว ลูกแรดจะดูดนมแม่เป็นเวลาหนึ่งหรืออาจนานถึงสองปี และกว่าแม่แรดจะผสมพันธุ์อีกครั้งก็ห่างจากคราวก่อนถึง 4-5 ปี
แรดประสบภัยคุกคามหลายด้าน ภัยที่ร้ายแรงที่สุดคือการล่า แรดที่ต้องการอย่างมากของตลาดยาจีน อวัยวะทุกส่วนของแรดนำไปใช้เป็นส่วนประกอบยาจีนได้ทั้งหมด โดยเฉพาะนอ ในเกาหลีใต้ มีการนำนอแรดไปรักษาโรคหลายชนิด ตั้งแต่ หวัด ลมชัก ลมอัมพาต จนกระทั่งเอดส์
ในประเทศเวียดนาม ชาวบ้านเผ่าสเตียงและ เชามาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่พบแรดหลายบ้านมีปืนไว้ล่าสัตว์ใหญ่เป็นอาหารเป็นประจำ และพร้อมจะฆ่าแรดได้ทุกเมื่อที่พบเห็น ด้วยราคาค่าหัวแรดที่สูงลิบ แรดจึงถูกมองว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากกว่าสัตว์ป่าที่ควรอยู่คู่ป่า นอแรดมีราคาในตลาดในตะวันออกไกลมีค่ามากถึง 60,000 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ลูกค้าหลักคือ จีน เยเมน ไต้หวัน และเกาหลีใต้
ภัยที่คุกคามอีกอย่างที่มีต่อแรดก็คือการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ทั้งจากประชากรมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น และจากการทำไม้ อย่างไรก็ตามการคุกคามนี้ยังอยู่ในการควบคุมจากการประกาศให้เป็นเขตคุ้มครอง
การที่ประชากรแรดเหลือน้อยมากในจังหวัดลัมดองทำให้ไม่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมและเพิ่มโอกาสในการผสมพันธุ์ในสายเลือด การขาดความหลากหลายทางพันธุ์กรรมทำให้ลูกหลานแรดปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ จากการศึกษาแรดห้าตัวที่ตายในในอุทยานแห่งชาติอูจุงคูลอนระหว่างปี 2524-2525 พบว่าตายจากการติดเชื้อไวรัส สิ่งนี้ยิ่งเป็นการยืนยันว่าประชากรที่น้อยนิดเปราะบางต่อโรคภัยธรรมชาติอย่างไร
ในประเทศอินโดนีเซีย แรดได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2474 และอุทยานอูจุงคูลอนก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเพื่ออนุรักษ์แรดโดยเฉพาะ ในเวียดนาม แรดได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายท้องถิ่นที่อนุมัติโดยกระทรวงป่าไม้ ไซเตสบรรจุชื่อแรดไว้ในบัญชีหมายเลข 1 ตั้งแต่ปี 2520 ห้ามการค้าขายระหว่างประเทศ ในประเทศไทย แม้จะไม่พบแรดมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่แรดก็ยังเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวน 15 ชนิดของไทย
สัตว์ในตระกูลแรดมีทั้งสิ้น 5 ชนิด นอกจากแรดแล้วยังมี กระซู่ แรดอินเดีย แรดขาว และแรดดำ สัตว์ในตระกูลแรดอาจเรียกเหมารวมกันว่า แรด ดังนั้น เมื่อเอ่ยถึงแรดคำเดียว อาจหมายถึงแรดชนิดใดชนิดหนึ่งในห้าชนิดนี้ หรืออาจหมายถึงแรดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinoceros sondaicus นี้ก็ได้ ด้วยเหตุนี้การเอ่ยเพียงคำว่า แรด จึงอาจเกิดความกำกวมขึ้นได้ วิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในการเลี่ยงความกำกวมก็คือ เมื่อเอ่ยถึงแรดที่หมายถึง Rhinoceros sondaicus จะเรียกว่า แรดชวา แทนซึ่งเป็นชื่อที่ถอดความมาจากชื่อภาษาอังกฤษ (Javan Rhinoceros)
              

แมวลายหินอ่อนเป็นแมวขนาดเล็ก ขนาดใกล้เคียงกับแมวบ้านทั่วไป มีลวดลายและสีสันคล้ายกับเสือลายเมฆ ในภาษาจีนคำเรียกแมวลายหินอ่อนก็มีความหมายว่า เสือลายเมฆเล็ก มีแต้มใหญ่ ๆ ขอบสีดำแบบเดียวกับเสือลายเมฆ แต่แต้มแต่ละแต้มอาจมีขอบไม่ครบวงหรือซ้อนเหลื่อมกัน มีสีสันหลายแบบ ตั้งแต่เหลืองซีดจนถึงน้ำตาลอมเทาหรือน้ำตาลอมแดง มีเส้นสีดำแคบ ๆ พาดผ่านกระหม่อม คอ และหลัง ขนนุ่มแน่นและมีขนชั้นในที่พัฒนาดี ส่วนล่างของลำตัวมีสีเทาอ่อนหรือขาวและมีจุดสีดำ จุดสีดำใต้ลำตัวนี้มีมากกว่าและเล็กกว่าของเสือลายเมฆ หัวสั้นกลมกว่าแมวชนิดอื่น ๆ มีแถบสีดำข้างละ 3 แถบ หน้าผากกว้าง รูม่านตากว้าง สีน้ำตาล หูกลมสั้นสีดำมีจุดสีขาวที่หลังหู ขาค่อนข้างสั้นและมีจุดดำอยู่มาก ฝ่าตีนกว้าง หางฟู ยาวประมาณ 48-55 ซม. ซึ่งยาวเท่ากับลำตัวรวมกับหัวหรืออาจจะยาวกว่าเสียอีก มีจุดสีดำตลอดความยาวหาง ปลายหางสีดำ
แมวลายหินอ่อนมีเสียงร้องเมี้ยวใกล้เคียงกับแมวบ้านแต่ก็คล้ายกับเสียงร้องจิ๊บถี่ ๆ ของนก ครางไม่บ่อยนัก

ชนิดย่อย

  • P. m. charltoni - เนปาล
  • P. m. marmorata - ป่าเขตร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ต้นกำเนิด

แมวลายหินอ่อนมีวิวัฒนาการมาอย่างไรยังไม่เป็นที่แน่ชัด นักสัตววิทยาหลายคนเชื่อว่าแมวลายหินอ่อนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแมวขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกับเสือลายเมฆ แม้ว่าแมวลายหินอ่อนเบากว่าเสือลายเมฆถึง 3 เท่าก็ตาม เขี้ยวบนของแมวลายหินอ่อนมีขนาดใหญ่เหมือนกับเสือลายเมฆ แต่มีกระโหลกสั้นและกลมกว่า นอกจากนี้ยังมีลักษณะทางโครโมโซมเหมือนกับพวกลิงซ์ เสือ และเสือดาวหิมะอีกด้วย
เมื่อราวสิบล้านปีก่อน แมวลายหินอ่อนอาจมีรูปร่างคล้ายกับบรรพบุรุษของเสือ แต่การแข่งขันกับเสือชนิดอื่นทำให้ลดขนาดลงในเวลาต่อมา

ถิ่นที่อยู่อาศัย

เขตกระจายพันธุ์ของแมวลายหินอ่อน
เขตกระจายพันธุ์ของแมวลายหินอ่อนเริ่มตั้งแต่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เรื่อยมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงบอร์เนียวและสุมาตรา ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าทึบ บนภูเขาสูงในเนปาลจนถึงป่าที่ราบต่ำในบอร์เนียว
ในประเทศไทย แมวลายหินอ่อนจะพบได้ในป่ารอยต่อระหว่างป่าเบณจพรรณกับป่าดิบ แต่จะไม่พบในป่าผสมระหว่างป่าดิบแล้งกับป่าเบญจพรรณ ในซาราวัก มีรายงานการพบเห็นในพื้นที่โล่งเตียนบ่อยครั้ง และมักพบในที่ต่ำมากกว่าบนภูเขา ในรัฐซาบาห์มีผู้พบเห็นแมวลายหินอ่อนในป่าที่มีการทำไม้มาแล้ว 6 ปี ในบอร์เนียว รายงานการพบเห็นส่วนใหญ่จะอยู่ในป่าเต็งรัง และเคยพบตัวหนึ่งอยู่บนหาดทรายในป่าชายเลนที่มีหญ้าและสนแคชัวรีนาขึ้น เคยมีแมวลายหินอ่อนตัวหนึ่งทางตอนใต้ของบอร์เนียวถูกจับได้ในเล้าไก่ใกล้กับแม่น้ำบาริโต ซึ่งล้อมรอบไปด้วยไร่และสวนยาง ไม่มีป่าอยู่บริเวณข้างเคียงเลย ในแถบประเทศเนปาล พบแมวลายหินอ่อนน้อยมาก มีการพบเห็นในพื้นที่ที่เป็นภูเขาสูง ในปี 2524 มีผู้พบเห็นทางตะวันตกของอุทยานแห่งชาติจิตวัน แต่ไม่เคยมีการพบเห็นในอุทยานแห่งชาติจิตวันเลย ในประเทศจีน มีการเก็บตัวอย่างได้ในทศวรรษ 1970 ที่ยูนนาน และเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีผู้พบเห็นที่มณฑลกวางสี ในอินเดีย เขตกระจายพันธุ์จะจำกัดอยู่เพียงตีนเขาหิมาลัยระหว่างความสูง 1,500-3,000 เมตรเท่านั้น
จากรายงานเหล่านี้ แสดงว่าแมวลายหินอ่อนสามารถปรับตัวให้เขากับป่าหลายประเภท ตั้งแต่ป่าเชิงเขาฮิมาลัยจนถึงป่าเขตร้อนในมาเลเซีย ส่วนใหญ่จะพบในป่าร้อนชื้น เนื่องจากแมวลายหินอ่อนมีจำนวนน้อยมาก เราจึงยังไม่ทราบลักษณะของป่าที่แมวลายหินอ่อนชอบที่สุด

อุปนิสัย

ด้วยความที่เป็นสัตว์หายาก เราจึงรู้จักแมวลายหินอ่อนน้อยมาก ทั้งทางด้านอุปนิสัย อาหาร และชีววิทยา แต่เป็นที่เชื่อว่า แมวลายหินอ่อนหากินกลางคืน อาศัยอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก ปีนป่ายได้อย่างคล่องแคล่ว จับกระรอก ค้างคาวผลไม้ หนู นก สัตว์เลื้อยคลาน กบ และแมลง ซึ่งสนับสนุนโดยโครงสร้างของตีน ซึ่งไม่มีลักษณะของการปรับตัวเพื่อหากินบนพื้นดินเลย ขาที่สั้น และหางที่ยาว มีอุ้งตีนที่อ่อนนุ่ม มีปลอกเล็บคู่ ในขณะที่นั่ง มันจะหดหัวเล็กน้อยและงอหลัง จากรายงานการพบเห็นแมวลายหินอ่อนที่มีอยู่เพียงไม่กี่ครั้งในบูกิตซูฮาร์โตในกาลิมันตันพบว่ามันออกหากินในช่วงเวลา 20-22 น. จากการผ่านกระเพาะแมวลายหินอ่อนตัวหนึ่งที่ถูกยิงในซาบาห์พบเศษของหนูขนาดเล็ก และมีผู้เคยพบเห็นแมวลายหินอ่อนย่องจับนกบนต้นไม้ นอกจากนี้ยังพบว่ากระรอกก็ถูกจับเป็นอาหารเหมือนกัน แมวลายหินอ่อนถูกจัดให้เป็นตัวแทนของมาร์เกย์ที่อยู่ในอเมริกากลางและใต้
อย่างไรก็ตาม เคยมีอีกบันทึกหนึ่งที่รายงานว่าถึงแม้ว่าแมวลายหินอ่อนจะอาศัยอยู่บนต้นไม้ แต่เวลาหากินจะจับสัตว์บนพื้นดินกินเป็นส่วนใหญ่
สมันเป็นกวางขนาดกลาง มีเขาสวยงามมากจนได้ชื่อว่าเป็นกวางที่สวยงามที่สุดชนิดหนึ่งของโลก น้ำหนัก 100-120 กิโลกรัมมีความยาวลำตัว 180 เซนติเมตร ความสูงหัวไหล่ 104 เซนติเมตร หางยาว 10 เซนติเมตร ขนหยาบสีน้ำตาลเข้ม ด้านล่างลำตัวและบริเวณแก้มจางกว่า บริเวณจมูกสีเข้มหรือสีดำ สีบริเวณขาและหน้าผากค่อนข้างอมแดง ใต้หางสีขาว ขนแผงคอยาวประมาณ 5 เซนติเมตร
เขาสมันตีวงกว้าง โค้ง และแตกกิ่งมาก ดูเหมือนสุ่มหงาย จึงมีชื่ออีกชื่อว่า "กวางเขาสุ่ม" กิ่งรับหมา (brow tine) ยาวและชี้มาด้านหน้าเป็นมุม 60 องศากับใบหน้า กิ่งอื่นยาวกิ่งละประมาณ 30 เซนติเมตร ลำเขา (beam) ตั้งฉากกับกิ่งรับหมา ความยาวประมาณ 12 เซนติเมตร การแตกกิ่งมักจะแตกออกเป็นสองกิ่งเสมอ โดยเฉลี่ยเขาแต่ละข้างมีจำนวนกิ่งทั้งสิ้น 8-9 กิ่ง ความยาวเฉลี่ยของเขา 65 เซนติเมตร เคยมีบันทึกว่ามีสมันที่เขาแตกกิ่งมากถึง 33 กิ่ง
สมันตัวเมียไม่มีเขา และลักษณะคล้ายละมั่งมาก ชาวบ้านบางท้องที่จึงมีความเชื่อว่าสมันมีเฉพาะตัวผู้เท่านั้น และเมื่อสมันตัวผู้ผสมพันธุ์กับละมั่งจะให้ลูกเป็นสมันหรือละมั่งก็ได้
สมันอยู่กันเป็นฝูงเล็ก ประกอบด้วยตัวผู้เต็มวัยหนึ่งตัว ที่เหลือคือเหล่าตัวเมียและลูกกวาง ตอนกลางวันสมันมักหลับพักผ่อนอยู่ในร่มไม้หรือดงหญ้าสูง ออกหากินเวลาเย็นจนถึงรุ่งเช้า อาหารหลักคือหญ้า ชอบอยู่ในป่าโปร่งหรือทุ่งหญ้าน้ำแฉะ ไม่ชอบป่าทึบ เมื่อฤดูน้ำหลาก สมันจึงต้องหนีไปอยู่บนเนินที่น้ำท่วมไม่ถึงซึ่งกลายเป็นเกาะกลางทุ่ง ในช่วงนี้จึงตกเป็นเป้าของพรานได้ง่าย
สมันเป็นสัตว์สัญชาติไทยโดยแท้จริง เพราะพบได้ในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น กระจายพันธุ์อยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมุทรปราการขึ้นไปจนถึงสุโขทัย ตะวันออกสุดถึงจังหวัดนครนายกและฉะเชิงเทรา ทางตะวันตกพบถึงสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี
จากการล่าและการบุกรุกพื้นที่ของมนุษย์เพื่อเปลี่ยนทุ่งหญ้าธรรมชาติมาเป็นไร่นา ทำให้ประชากรสมันลดจำนวนลงจนกระทั่งสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในปี พ.ศ.2475 มีบันทึกว่าสมันตัวสุดท้ายในธรรมชาติอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นตัวผู้ที่มีเขาสวยงาม ถูกยิงตายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากนั้นจึงเหลือเพียงสมันในกรงเลี้ยงเท่านั้น แต่น่าเศร้าที่การเพาะพันธุ์ในกรงเลี้ยงทำไม่สำเร็จ จึงไม่อาจเพิ่มจำนวนขึ้นได้อีก สมันตัวสุดท้ายในโลกเป็นสมันตัวผู้ที่เลี้ยงอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร แม้กระนั้นก็ไม่ได้ตายอย่างสงบ เพราะถูกชายขี้เมาคนหนึ่งตีตายในปี 2481 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นสมันอีกเลย แม้จะมีข่าวลือว่าพบสมันอีกในที่ต่าง ๆ แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ ซากที่สมบูรณ์ของสมันมีเพียงซากเดียวเท่านั้น เก็บอยู่ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นซากของสมันตัวที่อาศัยอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์ (Jardin des Plantes) ในปี 2410
ก่อนหน้าที่สมันจะสูญพันธุ์ มีความพยายามจากจากชาวต่างชาติในการจับมาเพาะเลี้ยง แต่ก็ล้มเหลวเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ของไทยไม่ให้ความร่วมมือและไม่ให้ความสำคัญ
ปัจจุบันสมันยังมีชื่อเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เนื่องจากการคุ้มครองมีผลไปถึงซากด้วย
เก้งหม้อมีลักษณะทั่วไปคล้ายเก้งธรรมดาแต่สีเข้มกว่า หนักประมาณ 18-21 กิโลกรัม ความยาวลำตัว 88 เซนติเมตร สีตามลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้มอมเหลือง สันหลังเข้มกว่าที่อื่น ๆ หน้าท้องสีขาว หางยาว 23 เซนติเมตร หางด้านบนสีดำ ใต้หางสีขาว ขาท่อนล่างจนถึงกีบสีดำ หน้าสีน้ำตาลเข้ม มีเส้นสีดำลากจากโคนเขามาจนถึงหัวตาดูเป็นรูปตัววี ใบหูไม่มีขน มีต่อมน้ำตาใหญ่ยาว ปลายด้านชี้ไปที่ลูกตามีขอบนูนสูง เก้งหม้อตัวผู้มีเขี้ยวยาวไว้ใช้ต่อสู้ เขี้ยวโค้งออกด้านหน้าเช่นเดียวกับเก้งทั่วไป
เก้งหม้อตัวผู้มีเขาสั้น เขาแต่ละข้างมีสองกิ่ง กิ่งหน้าสั้นกว่ากิ่งหลัง โคนเขามีขนดำหนาคลุมรอบ ระหว่างโคนเขามีขนสีเหลืองฟูเป็นกระจุก จึงมีชื่ออีกชื่อว่า “กวางเขาจุก”
เก้งหม้ออาศัยอยู่ในเทือกเขาตระนาวศรีชายแดนไทย-พม่า ในประเทศไทยพบที่ตาก ราชบุรี สุราฎร์ธานี ไม่พบในคาบสมุทรมลายู แต่คาดว่าน่าจะพบในลาวและเวียดนามด้วย มักพบอยู่ในป่าดิบทึบบนภูเขา ในประเทศจีนพบอยู่ในป่าบนภูเขาที่มีป่าสนกับป่าพืชใบกว้างหรือป่าไม้พุ่มผสมกันที่ระดับความสูง 2,500 เมตร
เก้งหม้อหากินตอนกลางวันและโดยลำพังตามพื้นที่เปิดโล่งระหว่างแหล่งน้ำ กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ที่ตกบนพื้น
แม่เก้งหม้อตั้งท้องนาน 180 วัน ออกลูกตามพุ่มไม้ทึบ ลูกเก้งจะซ่อนอยู่ในพุ่มไม้จนกระทั่งเริ่มจะเดินตามแม่ได้
คาดว่าประชากรเก้งหม้อมีจำนวนน้อยมาตั้งแต่ครั้งอดีตแล้ว ยิ่งในปัจจุบันเก้งหม้อประสบภัยคุกคามมากขึ้นทั้งจากการล่าเพื่อนำไปทำอาหาร และที่อยู่อาศัยถูกทำลาย ป่าที่อยู่ของเก้งหม้อหลายพื้นที่ได้สูญหายไปตลอดกาลจากการสร้างเขื่อนหลายแห่ง ประชากรที่น้อยอยู่แล้วจึงยิ่งน้อยลงไปอีกจนกลายเป็นสัตว์หายาก ในหลายพื้นที่เก้งหม้ออยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ในประเทศไทย เก้งหม้อเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวน 15 ชนิด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
           
กวางผาเป็นสัตว์ตระกูลแพะเช่นเดียวกับเลียงผา รูปร่างทั่วไปคล้ายเลียงผา แต่กวางผามีขนาดเล็กกว่าราวครึ่งหนึ่ง มีคอเล็กกว่า หางยาวกว่า และขาสั้นกว่า ต่อมหัวตาที่เป็นช่องเปิดระหว่างจมูกและตาของกวางผาเล็กมาก กระดูกจมูกของกวางผาเป็นคนละชิ้นกับกระดูกหน้า ซึ่งต่างจากเลียงผา กวางผาในเมืองไทยมีความยาวลำตัว 80-120 เซนติเมตร หางยาว 7-20 เซนติเมตร หูยาว 10-14 เซนติเมตร ความสูงที่หัวไหล่ 50-70 เซนติเมตร หนักราว 22-32 กิโลกรัม
ขนกวางผาหยาบยาวสีน้ำตาลอมเทา ขนหางฟูและดำ ใต้คางและอกมีสีน้ำตาลเข้มมีลายจาง ๆ บริเวณต้นขาสีเข้มและค่อย ๆ จางลงเมื่อไล่ลงไปถึงปลายขา เขาสีดำเขาโค้งไปด้านหลัง กวางผาตัวเมียมักมีสีจางกว่าตัวผู้ เขาสั้นกว่าและมีพาลีไม่เด่นชัดเท่าตัวผู้
กวางผาอาศัยอยู่บนภูเขาสูง พบที่ระดับความสูง 3,300-13,500 ฟุตที่เป็นหน้าผาที่มีพืชขึ้นเป็นหย่อมและมีหลืบหินสำหรับหลบซ่อน อาศัยเป็นฝูงครอบครัวเล็ก ๆ ประมาณ 5-6 ตัว ส่วนตัวผู้จะหากินโดยลำพังยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น
เขตกระจายพันธุ์แพร่ตั้งแต่เขตอัลซูรีในรัสเซีย แมนจูเรีย จีน เกาหลี ลงมาจนถึงพม่า และตะวันตกเฉียงเหนือของไทย ปัจจุบันในเมืองไทยพบกวางผาเฉพาะในเทือกเขาที่เป็นต้นน้ำปิงเท่านั้น
กวางผากินหญ้า ใบไม้ และผลไม้เป็นอาหาร มีสายตาดี จึงพึ่งพาประสาทการมองมากกว่าประสาทรับกลิ่นหรือประสาทรับฟัง ซึ่งต่างจากสัตว์หากินเป็นฝูงชนิดอื่น เมื่อตกใจกลัวจะทำตัวแข็งทื่อ หากภัยอันตรายเข้าใกล้ตัวมากจึงวิ่งหนีไป
ฤดูผสมพันธุ์ของกวางผาอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ตั้งท้องนานประมาณ 6 สัปดาห์ ออกลูกครั้งละตัว ลูกกวางผาจะอยู่กับแม่เป็นเวลาประมาณ 6 เดือนแล้วจึงแยกย้ายไป พอถึงวัย 2-3 ขวบก็ผสมพันธุ์ได้แล้ว อายุขัยประมาณ 8-10 ปี
เนื่องจากกวางผาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก จึงมีศัตรูในธรรมชาติน้อยมาก นอกจากเสือไฟเท่านั้น อย่างไรก็ตามกวางผาต้องประสบภัยคุกคามจากการล่าของมนุษย์ และการบุกรุกถางป่าก็ทำให้กวางผาไม่มีที่อยู่อาศัยจนกระทั่งปัจจุบันอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง
กวางผาเป็นหนึ่งใน 15 สัตว์ป่าสงวนของไทย ไอยูซีเอ็นจัดสถานภาพไว้อยู่ในระดับเสี่ยงสูญพันธุ์ (2547)

กระซู่เป็นสัตว์ตระกูลแรดที่มีขนาดเล็กที่สุดในจำนวน 5 ชนิดที่มีอยู่ รูปร่างหนาบึกบึน สีลำตัวน้ำตาลแดง ลักษณะเด่นที่ต่างจากพวกพ้องตระกูลแรดชนิดอื่นก็คือ มีขนสีน้ำตาลแดงยาวทั่วตัว บางครั้งฝรั่งก็เรียกว่า แรดขน สีขนจะเข้มขึ้นตามอายุ หนักราว 600-950 กิโลกรัม ความสูง 1-1.5 เมตร ความยาวลำตัว 2.0-3.0 เมตร หางยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ขาสั้นม่อต้อ ริมฝีปากบนแหลมเป็นจงอยใช้หยิบจับได้
กระซู่เป็นแรดในเอเชียเพียงชนิดเดียวที่มีสองนอ นอหน้ายาวประมาณ 25-79 เซนติเมตร นอในอยู่หว่างคิ้วและเล็กกว่ามาก มักยาวไม่ถึง 10 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียบางตัวอาจไม่มีนอใน หนังกระซู่สีน้ำตาลอมเทาเข้ม หนาเฉลี่ย 16 มิลลิเมตร หนังรอบตายับย่น มีรอยพับข้ามตัว 2 รอย คือที่หลังขาหน้าและหน้าขาหลัง ดูเหมือนหุ้มเกราะ
กระซู่มีสองชนิดย่อยคือ กระซู่ตะวันตก (Dicerorhinus sumatrensis sumatrensis) พบในเกาะสุมาตรา อินโดจีน และคาบสมุทรมลายู และ กระซู่ตะวันออก (Dicerorhinus sumatrensis harrissoni) อาศัยอยู่ในเกาะบอร์เนียว ก่อนหน้านี้เคยมีอีกชนิดย่อยหนึ่งคือ (Dicerorhinus sumatrensis lasiotus) พบในอินเดีย บังกลาเทศ และพม่า แต่ปัจจุบันคาดว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แม้จะยังมีความหวังว่าอาจยังมีเหลืออยู่ในพม่าก็ตาม
อาหารหลักของกระซู่คือ ใบไม้ กิ่งไม้ ยอดอ่อน ผลไม้ เช่น ทุเรียนป่า มะม่วงป่า ลูกไทร ไผ่ และพืชที่ขึ้นตามป่าชั้นสอง กินอาหารเฉลี่ยวันละ 50 กิโลกรัม กระซู่หากินโดยลำพังตอนเช้ามืดและหัวค่ำ เดินทางตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะนอนแช่ปลักหรือในบึงเพื่อพักผ่อน กระซู่มักทำปลักส่วนตัวโดยจะถางบริเวณในรัศมี 10-35 เมตรให้ราบเรียบเพื่อเป็นที่พักผ่อน กระซู่มีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล โดยในฤดูฝนจะย้ายไปอยู่ที่สูง ส่วนในฤดูอื่นจะย้ายลงมาอยู่ในที่ต่ำ แม้จะดูอ้วนเทอะทะแต่กระซู่ปีนป่ายหน้าผาชันได้เก่ง และว่ายน้ำได้ดี เคยมีผู้พบเห็นกระซู่ว่ายในน้ำทะเลด้วย
กระซู่จำเป็นต้องลงกินโป่งอยู่เสมอ เคยพบว่าพื้นที่รอบโป่งแห่งหนึ่งมีจำนวนกระซู่มากถึง 13-14 ตัวต่อตารางกิโลเมตร ตัวผู้มีพื้นที่หากินประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรและซ้อนเหลื่อมกันมาก ส่วนตัวเมียมีอาณาเขตเล็กกว่า เพียง 10-15 ตารางกิโลเมตรและซ้อนทับกับตัวเมียตัวอื่นเล็กน้อย ทั้งตัวผู้และตัวเมียทำเครื่องหมายประกาศอาณาเขตด้วยรอยครูด ขี้ ละอองเยี่ยว และรอยลู่ของไม้อ่อน
กระซู่อาศัยได้ในป่าหลายประเภท แต่ชอบที่สูงที่มีมอสปกคลุมและป่าฝนเขตร้อน มักพบใกล้แหล่งน้ำ ป่าชั้นสองที่มีความหนาแน่นพอสมควรก็ดึงดูดกระซู่ได้ นอกจากนี้ยังเคยพบว่ากระซู่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งด้วย
ฤดูกาลผสมพันธุ์ไม่ทราบแน่ชัด แต่มักพบว่าลูกกระซู่มักเกิดช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฝนตกชุก แม่กระซู่ตั้งท้องนาน 477 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกกระซู่แรกเกิดหนัก 25 กิโลกรัม สูง 60 เซนติเมตรและยาว 90 เซนติเมตร มีขนแน่นและสีขนออกแดง ช่วงวันแรก ๆ ลูกกระซู่จะซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ทึบใกล้โป่งขณะที่แม่ออกไปหากิน พออายุได้ 2 เดือนจึงออกติดตามแม่ไปได้ หย่านมได้เมื่ออายุ 18 เดือน แต่จะยังอยู่กับแม่จนกระทั่งอายุ 2-3 ปี กระซู่วัยเด็กอาจอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อโตแล้วก็จะแยกย้ายกันไปหากินตามลำพัง
ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 ปี ส่วนตัวผู้ต้องรอไปถึงอายุ 7 ปี ตัวเมียมีระยะตั้งท้องแต่ละครั้งห่างกัน 3-4 ปี กระซู่ในแหล่งเพาะเลี้ยงมีอายุขัยประมาณ 35 ปี
กระซู่นับเป็นสัตว์ใหญ่ที่ถูกคุกคามมากที่สุดในโลก ในต้นศตวรรษที่ 20 กระซู่ยังพบอยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่เทือกเขาหิมาลัย ภูฏาน อินเดียตะวันออกจนถึงมาเลเซีย สุมาตรา และบอร์เนียว กระซู่ตะวันตกในแผ่นดินใหญ่เหลือเพียงประมาณ 100 ตัว ส่วนใหญ่อยู่ในคาบสมุทรมลายู ในประเทศไทยอาจเหลือเพียง 10 ตัว และในเกาะสุมาตรามีจำนวนประมาณ 300 ตัว กระซู่ตะวันออกที่เคยพบทั่วเกาะบอร์เนียวเหลือเพียงประมาณ 60 ตัวในรัฐซาบาห์เท่านั้น ส่วนในรัฐซาราวักและกาลิมันตันไม่พบอีกแล้ว
กระซู่ประสบถูกคุกคามเนื่องจากป่าที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกอย่างหนักจนเริ่มขาดจากกันเป็นผืนเล็กผืนน้อย ยิ่งกว่านั้น ทุกพื้นที่ที่พบกระซู่ล้วนแต่มีแนวโน้มประชากรลดลง ศัตรูหลักของกระซู่คือมนุษย์และเสือโคร่ง
โครงการขยายพันธุ์กระซู่ในแหล่งเพาะเลี้ยงที่ผ่านมาไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา มีกระซู่ถูกจับมาจากป่าเพื่อมาเข้าโครงการนี้ 40 ตัว แต่ก็ตายไปถึง 19 ตัว การผสมเทียมก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ความล้มเหลวดังกล่าวน่าจะเป็นผลมาจากการขาดความรู้ด้านโภชนาการและการสืบพันธุ์ของกระซู่ ปัจจุบันเราทราบแล้วว่ากระซู่ต้องการพื้นที่กว้างกว่าเดิมและมีสภาพเป็นธรรมชาติมากกว่าที่เคยมีอยู่
แม้เวลาจะเหลือน้อยลงทุกที แต่ความพยายามที่จะรักษาเผ่าพันธุ์กระซู่ยังคงดำเนินต่อไป
ไอยูซีเอ็นจัดให้กระซู่อยู่ในสภาวะวิกฤต ไซเตสจัดไว้ในบัญชีหมายเลข 1
กูปรีเป็นสัตว์จำพวกวัว ความยาวหัว-ลำตัว 210-223 เซนติเมตร หนัก 681 ถึง 910 กิโลกรัม กูปรีตัวผู้ความสูงที่หัวไหล่ 170-190 เซนติเมตร หางยาว 100 เซนติเมตร ตัวผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นคือเหนียงคอห้อยยาน ซึ่งต่างจากวัวควายชนิดอื่น เหนียงคอบางตัวยาวเรี่ยพื้นดินถึง 40 เซนติเมตร มีรอยบากที่รูจมูก ช่วงใต้ลำตัวและขาท่อนล่างมีสีซีด มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมียแต่รูปร่างต่างกัน เขาตัวผู้กางออกกว้างแล้วโค้งไปด้านหน้าพร้อมกับช้อนขึ้นบน ปลายเขาแตกเป็นพู่ เขาของตัวผู้อาจยาวได้ถึง 80 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียเขาเล็กกว่าของตัวผู้มาก มีรูปร่างคล้ายพิณไลร์ดังแบบเขาของแอนทิโลปบางชนิดในแอฟริกา ยาวได้ประมาณ 40 เซนติเมตร บิดเป็นเกลียวและชี้ขึ้นบน
กูปรีหากินตอนกลางคืน คาดว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมนุษย์ เมื่อถึงรุ่งเช้าก็จะกลับเข้าป่าทึบไป นอนพักผ่อนตอนบ่ายโดยจะล้อมกันเป็นวงเล็ก ๆ และแน่นหนา ตกเย็นจึงออกมาที่ทุ่งหญ้าหากินอีกครั้ง หากเป็นในฤดูฝนกูปรีอาจเข้าป่าทึบน้อยลงเนื่องจากเลี่ยงแมลงรบกวน อาหารได้แก่ ไผ่ (Arundinella spp), หญ้าข้าวเปลือก (Arundinella setosa) และหญ้าในสกุลหญ้าโรด (Chloris sp.) อาศัยกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งประกอบด้วยตัวเมียและเด็ก ส่วนตัวผู้จะแยกออกไปรวมจับกลุ่มเป็นฝูงชายล้วนต่างหาก ในฤดูแล้งจึงมาร่วมฝูงกับตัวเมีย ฝูงหนึ่งอาจมากถึง 20 ตัว กูปรีมีนิสัยตื่นตัวไม่อยู่นิ่ง ชอบขุดดินและแทงตอไม้ ซึ่งเป็นเหตุที่ปลายเขาแตกเป็นพู่ เปรียบเทียบกับวัวแดงแล้ว กูปรีตื่นตัวมากกว่าและมีท่วงท่าการวิ่งสง่างามกว่า บางครั้งกูปรีก็หากินร่วมกับวัวแดงและควายป่า ชอบลงโป่งและตาน้ำ เดินหากินคืนหนึ่งอาจไกลถึง 15 กิโลเมตร สมาชิกในฝูงมีการแยกออกและกลับมารวมกันอยู่เสมอ
กูปรีพบมีเขตกระจายพันธุ์อยู่ในเทือกเขาพนมดงรัก บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา-ลาว-เวียดนามเท่านั้น อาศัยอยู่ในป่าเปิด ทุ่งหญ้าสลับป่าทึบ คาดว่าในฤดูฝนฝูงกูปรีจะอพยพขึ้นที่สูง
ในปี 2549 มีรายงานฉบับหนึ่งเปิดเผยการวิเคราะห์ดีเอ็นเอไมโตคอนเดรียของกูปรี พบว่าใกล้เคียงกับวัวแดงมาก ทำให้สันนิษฐานว่า แท้จริงกูปรีอาจเป็นเพียงลูกผสมระหว่างวัวแดงเลี้ยง กระทิง หรือวัวซีบู หาใช่สัตว์ชนิดหนึ่งแยกออกมาต่างหาก อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ภายต่อมายืนยันว่ากูปรีไม่ใช่ลูกผสม ผู้วิจัยในรายงานข้างต้นก็ยอมรับผลการวิเคราะห์ใหม่นี้เช่นกัน
ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนเมษายน ออกลูกราวเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ตั้งท้องนาน 8-9 เดือน เมื่อถึงเวลาออกลูก แม่กูปรีจะปลีกออกจากฝูงไป ออกลูกครั้งละตัว เมื่อออกลูกแล้วได้หนึ่งเดือนก็จะกลับเข้าฝูงอีกครั้ง ลูกกูปรีมีสีส้มแดง แต่เมื่อโตขึ้นถึงหกเดือน สีตัวจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีเทา และสีก็จะเข้มขึ้นตามอายุ ตัวผู้เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่จะเปลี่ยนเป็นสีดำหรือน้ำตาลเข้ม ตัวผู้ปลายเขาเริ่มแตกเป็นพู่เมื่ออายุได้ 3 ปี กูปรีมีอายุได้ราว 20 ปี
ปัจจุบันคาดว่าเหลือกูปรีอยู่ราว 100-300 ตัวเท่านั้น ไอยูซีเอ็นจัดสถานภาพไว้ในระดับใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CE) ไซเตสจัดกูปรีไว้ในบัญชีหมายเลข 1 ในประเทศไทยกูปรีเป็นหนึ่งใน 15 สัตว์ป่าสงวน


สัตว์กีบรูปร่างคล้ายแพะ ลำตัวสั้น ขายาว ขนดำยาว ขนชั้นนอกชี้ฟู ขนบริเวณตั้งแต่โคนเขาจนถึงหัวไหล่ยาวและฟู อาจมีสีแตกต่างกันไปตั้งแต่ขาวถึงดำ หัวโต หูใหญ่ตั้ง มีเขาเป็นรูปกรวยเรียว โค้งไปทางข้างหลังเล็กน้อย ตัวผู้เขายาวกว่าตัวเมียมาก ตัวที่เขายาวที่สุดเคยวัดได้ถึง 28 เซนติเมตร โคนเขาเป็นลอนย่น กะโหลกด้านหน้าแบน มีต่อมน้ำตาอยู่ใต้ตา ต่อมนี้มีหน้าที่สร้างสารกลิ่นฉุนเพื่อใช้ในการทำเครื่องหมายประกาศอาณาเขต หางสั้นและเป็นพู่ ความยาวลำตัว 1.5 เมตร หางยาว 15 เซนติเมตร ความสูงที่หัวไหล่ 1 เมตร หนักประมาณ 85-140 กิโลกรัม
รอยตีนของเลียงผามีขนาดใกล้เคียงคล้ายรอยตีนเก้ง แต่กีบเลียงผาค่อนข้างขนานกัน ไม่งุ้มเข้าหากันอย่างสัตว์กีบชนิดอื่น และปลายกีบของเลียงผาค่อนข้างทู่กว่าของเก้ง
เลียงผาพบตั้งแต่แคชเมียร์ในประเทศอินเดีย เชิงเขาหิมาลัย แพร่ไปถึงอัสสัม ลงมาถึงจีนและพม่า ไทย มาเลเซีย และเกาะสุมาตรา ในประเทศไทยพบในป่าหลายประเภททั่วประเทศยกเว้นที่ราบ พวกที่อยู่ในบังกลาเทศและพื้นที่ข้างเคียงอยู่ในชนิดย่อย Capricornis sumatraensis rubidus ส่วนพวกที่อยู่ในคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตราคือชนิดย่อย Capricornis sumatratraensis sumatraensis
อาศัยอยู่ตามภูเขาที่เปิดโล่ง เลียงผามักอาศัยอยู่ตัวเดียวหรือบางครั้งเป็นฝูงเล็ก ปีนป่ายและกระโดดไปตามหน้าผาชันได้อย่างคล่องแคล่ว และปีนต้นไม้ก็ได้ นอกจากนี้ยังว่ายน้ำได้เก่ง จึงพบได้ตามเกาะด้วย ออกหากินเฉพาะตอนเย็นและตอนเช้า เลียงผามีนิสัยหวงถิ่น อาณาเขตของเลียงผากว้างเพียงไม่กี่ตารางกิโลเมตร มักหากินอยู่ไม่ไกลจากแหล่งพักผ่อน กินหญ้า และบางครั้งก็กินยอดอ่อนและใบไม้ มีจุดถ่ายมูลประจำ ตอนกลางวันเลียงผาจะหลบอยู่ในพุ่มหรือในถ้ำตื้น ๆ ใต้ชะง่อนหิน
เลียงผามีจมูก หู และตาไวมาก ศัตรูในธรรมชาติคือหมาใน เมื่อถูกต้อนจนมุม จะต่อสู้ด้วยเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เลียงผาผสมพันธุ์ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน แม่เลียงผาตั้งท้องนาน 7 เดือน ออกลูกทีละตัว ลูกเลียงผาอยู่กับแม่เป็นเวลา 1 ปี ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 30 เดือน ตัวผู้เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 30-36 เดือน มีอายุขัย 10 ปี
การที่เลียงผาชอบอยู่ตามหน้าผาชันเป็นธรรมชาติที่ช่วยให้หลีกเลี่ยงสัตว์นักล่าได้ดี แต่โชคร้ายที่เป็นเป้าโดดเด่นของปืนนายพราน และหน้าผาหินปูนซึ่งเป็นที่อยู่หลักก็ถูกทำลายไปมาก
ปัจจุบันเป็นสัตว์หายาก ไอยูซีเอ็นประเมินสถานภาพไว้อยู่ในระดับอันตราย เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวน 15 ชนิดของไทย อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 ของไซเตส
นกแต้วแล้วท้องดำ เป็นหนึ่งในนกแต้วแล้ว 12 ชนิดที่พบในประเทศไทย รูปร่างอ้วนป้อม คอสั้น หัวโต หางสั้น ลำตัวยาว 22 เซนติเมตร ตัวผู้หัวสีดำ กระหม่อมและท้ายทอยสีน้ำเงินเหลือบฟ้า หางสีน้ำเงินอมเขียว ท้องสีเหลืองสดมีริ้วสีดำบาง ๆ พาดสลับตลอดช่วงท้อง ใต้ท้องแต้มสีดำสมชื่อ ตัวเมียกระหม่อมสีเหลืองอ่อน มีแถบดำผ่านใต้ตาลงไปถึงแก้ม ท้องสีขาว มีแถบสีน้ำตาลขวางจากอกลงไปถึงก้น
นกแต้วแล้วท้องดำอาศัยอยู่ในป่าดิบที่ราบต่ำ ซึ่งมีระดับความสูงไม่เกิน 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล มักพบตามที่ราบ ใกล้ร่องน้ำหรือลำธารที่ชื้นแฉะ ไม่ชอบอยู่บริเวณที่มีไม้พื้นล่างขึ้นรกทึบ เขตกระจายพันธุ์อยู่ในทางใต้ของพม่าที่ติดต่อกับประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศไทยพบเพียงแห่งเดียวที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม (เขานอจู้จี้) จังหวัดกระบี่เพียงแห่งเดียว
นกแต้วแล้วหากินด้วยการกระโดดหาแมลงบนพื้นดินกินหรืออาจขุดไส้เดือนขึ้นมากิน บางครั้งอาจจับกบ และสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กด้วย โดยเฉพาะในช่วงมีลูกอ่อน
นกตัวผู้จะร้องหาคู่ด้วยเสียง 2 พยางค์ เร็ว ๆ ว่า “ท-รับ” แต่ถ้าตกใจนกร้องเสียง “แต้ว แต้ว” เว้นช่วงแต่ละพยางค์ประมาณ 7-8 วินาที และอาจร้องนานเป็นชั่วโมง ส่วนเสียงที่ใช้ในการสื่อสารกันระยะใกล้จะใช้เสียงนุ่มดัง "ฮุ ฮุ"
ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ออกไข่คราวละ 3-4 ฟอง
ภัยคุกคามหลักต่อนกแต้วแล้วท้องดำคือการบุกรุกป่าจากการทำไม้และการถากถางเพื่อทำการเกษตร การที่นกแต้วแล้วท้องดำอาศัยอยู่ป่าที่ราบต่ำซึ่งเหมาะในการทำไร่ จึงยิ่งทำให้ถูกคุกคามได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การลักลอบจับนกมาขายก็เป็นภัยที่ร้ายแรงเช่นกัน เพราะผู้คนทางภาคใต้ของไทยนิยมการเลี้ยงนกไว้ในกรง ดังจะเห็นจากการพบบ่วงดักนกจำนวนมากวางอยู่ตามชายป่าเขานอจู้จี้
ปัจจุบันสถานภาพของนกแต้วแล้วท้องดำในประเทศไทยน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2529 เคยพบ 44-45 คู่ แต่ในปี พ.ศ. 2540 เหลือเพียง 9 คู่เท่านั้น ปัจจุบันคาดว่ามีอยู่ประมาณ 13-20 คู่เท่านั้น เป็นหนึ่งในสัตว์สงวน 15 ชนิดของไทย ตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ไอยูซีเอ็นเคยประเมินสถานภาพไว้ว่า ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CE) แต่จากการที่การสำรวจพบประชากรของนกชนิดนี้ในพม่ามากขึ้น ในปี 2551 จึงปรับสถานภาพให้ดีขึ้นเล็กน้อยเป็น ใกล้สูญพันธุ์ (EN)




สมเสร็จไทยเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคี่ เป็นสมเสร็จที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์และเป็นชนิดเดียวที่พบในเอเชีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tapirus indicus เป็นสัตว์มีหน้าตาประหลาด คือ มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดผสมอยู่ในตัวเดียวกัน มีจมูกที่ยื่นยาวออกมาคล้ายงวงของช้าง รูปร่างหน้าตาคล้ายหมูที่มีขายาว หางสั้นคล้ายหมีและมีกีบเท้าคล้ายแรด ลักษณะเด่น คือ บริเวณส่วนหัวไหล่และขาทั้งสี่ข้างมีสีดำ ส่วนกลางลำตัวเป็นสีขาว ใบหูกลม ขนปลายหูและริมฝีปากมีสีขาว มีแผ่นหนังหนาบริเวณสันก้านคอเพื่อป้องกันการโจมตีของเสือโคร่ง ที่จะตะปบกัดบริเวณก้านคอ ลูกที่เกิดใหม่จะมีลวดลายคล้ายแตงไทยและขนยาว และลายนี้จะค่อย ๆ จางลงเมื่ออายุได้ 6-8 เดือน สมเสร็จตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย โตเต็มที่ความยาวลำตัวและหัว 220-240 เซนติเมตร ความยาวหาง 5-10 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 100 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 250-300 กิโลกรัม

แหล่งอาศํย

มีการกระจายพันธุ์อยู่ในภาคใต้ของพม่า, ภาคใต้และภาคตะวันตกของไทย, มาเลเซีย และเกาะสุมาตรา

ถื่นที่อยู่และแหล่งอาหาร

อาศัยและหากินอยู่ตามลำพัง มักอาศัยในป่าที่มีความชื้นสูงและอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ เนื่องจากชอบแช่น้ำ เมื่อหลบภัยก็จะหลบไปหนีแช่ในน้ำจนกว่าแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงขึ้นมา รวมทั้งผสมพันธุ์ในน้ำด้วย มีความสามารถว่ายน้ำได้เก่ง อาหารของสมเสร็จได้แก่ ยอดไม้อ่อน ยอดหวาย หน่อไม้ นอกจากนี้ยังกินดินโป่งเพื่อเพิ่มแร่ธาตุให้แก่ร่างกาย ออกหากินในเวลากลางคืน มีนิสัยชอบถ่ายมูลซ้ำในที่เดิมจนเป็นกองใหญ่ มีสายตาไม่ดีนัก แต่มีระบบประสาทดมกลิ่นและฟังเสียงที่ดีมาก มักใช้จมูกที่ยาวเหมือนงวงช้างช่วยในการดมกลิ่นหาอาหาร และใช้คอที่หนาดันตัวเองเข้าพุ่มไม้ มีการเคลื่อนไหวตัวที่เงียบมาก
พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในน้ำ รูปร่างคล้ายปลาโลมาแต่อ้วนป่องกว่าเล็กน้อย ผิวหนังเรียบลื่นสีเทา แต่เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐและมีด่างขาว ขาหน้าคล้ายใบพายใช้สำหรับการช่วยบังคับทิศทางหรือใช้เดินบนพื้นทะเล ขาหลังลดรูปจนหายไปหมดเหลือเพียงกระดูกชิ้นเล็กๆอยู่ภายในลำตัว ส่วนท้ายเป็นครีบสองแฉกวางแนวระนาบคล้ายหางโลมาใช้โบกขึ้นลงเพื่อการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า พะยูนต้องหายใจด้วยปอดเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ รูจมูกอยู่ด้านบนเพื่อให้ขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำได้โดยไม่ต้องโผล่ส่วนอื่นขึ้นมาด้วย เมื่อดำน้ำจะมีแผ่นหนังมาปิดปากรูไว้เพื่อกันน้ำเข้า ปากใหญ่ มีขนแข็งๆ ขึ้นเป็นจำนวนมากสำหรับการขุดหรือไถไปตามพื้นทะเลเพื่อกินหญ้าทะเล
คาดว่าบรรพบุรุษของพะยูนเคยอาศัยอยู่บนบก แต่เริ่มมีวิวัฒนาการลงไปอาศัยอยู่ในน้ำตั้งแต่เมื่อประมาณ 60 ล้านปีก่อน ทำให้พะยูนมีการวิวัฒนาการรูปร่างให้เหมาะกับการอาศัยอยู่ในน้ำ พะยูนจะมีรูปร่างภายนอกคล้ายโลมาแต่พะยูนกลับมีวิวัฒนาการมาสายเดียวกับช้าง ลักษณะร่วมกับช้างที่เด่นชัดอย่างหนึ่งคือ มีเต้านมอยู่บริเวณขาหน้าเหมือนกัน
พะยูนอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเท่านั้น พบในเขตแนวชายฝั่งด้าน ตะวันออกของชายฝั่งทวีปแอฟริกาเลียบชายฝั่งย่านเปอร์เซีย อินเดีย ไทย ชายฝั่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย
พะยูนส่วนใหญ่ชอบอาศัยรวมกันอยู่เป็นฝูงตามชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำที่มีแหล่งหญ้าทะเล พะยูนหาอาหารทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อน้ำขึ้นพะยูนจะรวมกลุ่มกันเข้ามากินหญ้าทะเลที่ขึ้นเป็นแนวอยู่บริเวณน้ำตื้น จนกระทั่งน้ำเริ่มลงพะยูนก็จะกลับไปหลบอยู่บริเวณร่องน้ำใกล้เคียงและรอที่จะกลับเข้ามาเมื่อน้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หญ้าทะเลชนิดที่พะยูนชอบกินได้แก่หญ้าใบมะขาม (Halophila ovalis) แม้จะกินหญ้าเป็นอาหารหลักแต่พะยูนก็กินสัตว์ขนาดเล็กๆ ที่อยู่ตามพื้นในแนวหญ้าทะเลเช่นปลิงทะเลเป็นอาหารด้วยเช่นกัน
แม่พะยูนตั้งท้องเป็นเวลาประมาณ 13 เดือน ออกลูกครั้งละตัว แม่พะยูนจะเลี้ยงดูลูกอ่อนประมาณปีครึ่ง ระหว่างนี้พะยูนจะยังไม่มีลูกใหม่ไป 2-3 ปี ลูกพะยูนขนาดยาวประมาณไม่เกิน 1 เมตรจะว่ายเกาะติดบริเวณด้านข้างของแม่เกือบตลอดเวลา จากการสำรวจศึกษาโดยนักวิชาการของกรมป่าไม้ พบว่าบ่อยครั้งที่แม่พะยูนอยู่ร่วมกับพะยูนขนาดใหญ่อีกตัวหนึ่งที่ว่ายตามอยู่ไม่ห่าง แต่พะยูนตัวนั้นจะเป็นพ่อหรือพี่เลี้ยงยังไม่ทราบแน่ชัด
พะยูนมีอายุขัยประมาณ 70 ปี ตัวผู้จะสืบพันธุ์ได้เมื่อมีอายุประมาณ 9 ปีขึ้นไป ส่วนตัวเมียจะเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุมากกว่า 13 ปี
ถึงแม้ว่าจะมีเขตกระจายพันธุ์กว้าง แต่ประชากรพะยูนทั่วโลกกลับมีจำนวนลดลงจนเกือบสูญพันธุ์เนื่องจากการล่าและการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของพะยูน ปัจจุบันยังคงมีเพียงบริเวณชายฝั่งออสเตรเลียเท่านั้นที่มีจำนวนประชากรพะยูนหลายหมื่นตัว
ประเทศไทยเคยมีพะยูนอยู่อย่างมากมายทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน แต่ก็มีจำนวนลดลงเนื่องมาจากการล่า การเข้าไปติดในเครื่องมือประมง และการทำลายแหล่งหญ้าทะเล ปัจจุบันพบว่าพะยูนยังคงมีกระจายอยู่ตามชายฝั่งของไทยทั้งอันดามันและอ่าวไทยแต่มีจำนวนน้อย ทางอ่าวไทย ยังคงพบอยู่บ้างที่ระยอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดพบที่บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 100 ตัว
 ไอยูซีเอ็นประเมินว่าอยู่ภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ (A2bcd) ไซเตสจัดพะยูนในออสเตรเลียอยู่ในบัญชีหมายเลข 2 และจัดพะยูนนอกออสเตรเลียอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวน 15 ชนิดของไทย

              

ละองและละมั่งเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน ละอง คือตัวผู้ ละมั่งคือตัวเมีย บางครั้งชาวบ้านก็เรียกทั้งตัวผู้และตัวเมียว่าละมั่ง
ละองและละมั่งเป็นกวางขนาดกลาง เล็กกว่ากวางป่า ลักษณะทั่วไปใกล้เคียงกวางบาราซิงกาที่มีสายเลือดใกล้ชิดกัน เป็นกวางที่รูปร่างสวยงามมาก ความสูงที่หัวไหล่ประมาณ 110 เซนติเมตร ความยาวหัว-ลำตัว 150-180 เซนติเมตร หนัก 150 กิโลกรัม หางยาว 20-30 เซนติเมตร ไม่มีวงก้น คอค่อนข้างเรียว ขนกลางสันหลังสีดำ ในฤดูร้อนขนมีสีน้ำตาลแดง แต่ในฤดูหนาวสีจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้ม ละองค่อนข้างสีเข้มกว่าละมั่งเล็กน้อย ขนหยาบ โดยเฉพาะบริเวณคอของละอง
ละองมีเขาโค้งยาวไปด้านหลังแล้วตีวงม้วนมาด้านหน้า เขาบางตัวอาจยาวถึง 2 เมตร มีกิ่งสั้น ๆ ที่ปลายเขา ส่วนใหญ่มี 12 กิ่ง แต่บางตัวอาจมีมากถึง 20 กิ่ง กิ่งรับหมายาวมาก ผลัดเขาปีละครั้ง เขาจะโตเต็มที่เมื่ออยู่ในฤดูผสมพันธุ์
ส่วนละมั่งตัวเล็กกว่าละอง และไม่มีเขา
ละองและละมั่งมีสามพันธุ์ ได้แก่พันธุ์อินเดีย หรือพันธุ์อัสสัม หรือพันธุ์มานิเปอร์ (C. e. eldii) พบในจังหวัดมานิเปอร์ของอินเดีย พันธุ์พม่า (C. e. thamin) พบในประเทศพม่า ตัวใหญ่กว่าพันธุ์อินเดีย และพันธุ์ไทย (C. e. siamensis) มีเขาแตกกิ่งมากที่สุด พบในประเทศไทยและจีน เคยมีผู้จำแนกละมั่งในเกาะไหหลำเป็นอีกชนิดย่อยหนึ่งคือ พันธุ์ไหหลำ (C. e. hainanus) พันธุ์นี้เขาจะเล็กและไม่แตกกิ่ง แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นพันธุ์เดียวกับพันธุ์ไทย
สันนิษฐานว่ามีอุปนิสัยคล้ายกวางบาราซิงกา ละองและละมั่งรวมฝูงแยกเพศกัน แต่ละฝูงอาจมีมากถึง 50 ตัว ตัวผู้มีเขตหากินประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ตัวเมียมีเขตหากินเพียงหนึ่งในสี่และอยู่ในพื้นที่ของตัวผู้ มักหากินตอนกลางคืน กินอาหารหลายชนิด เช่นพืชน้ำ หญ้า และยอดไม้ ชอบกินดินโป่งเช่นเดียวกับกวางป่า
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนพฤษภาคมคือฤดูผสมพันธุ์ ฝูงละองจะเข้ามารวมกับฝูงละมั่ง ละองจะต่อสู้กันเพื่อแย่งสิทธิในการผสมพันธุ์และครอบครองฝูงละมั่ง ละมั่งตั้งท้องนานราว 220 ถึง 240 วัน ออกลูกครั้งละตัว ลูกกวางแรกเกิดมีลายจุดทั่วตัว เมื่อโตขึ้นจุดบนลำตัวค่อยจางไป หย่านมเมื่ออายุได้ 7 เดือน เมื่ออายุ 18 เดือนก็เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ละองและละมั่งมีอายุขัยราว 10 ปี
กวางชนิดนี้เคยพบตลอดตอนเหนือของอินเดียจนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอินเดีย พม่า ไทย เวียดนาม และภาคใต้ของจีน แต่จำนวนประชากรได้ลดลงไปอย่างรวดเร็วในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการล่า แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย กวางชนิดนี้ไม่ชอบป่าทึบ แต่ชอบป่าเปิดใกล้ลำธารหรือหนองน้ำ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวก็เหมาะแก่การเพาะปลูกเช่นกัน เมื่อประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้น พื้นที่หากินของละองและละมั่งก็ลดลงไป
ละมั่งพันธุ์อินเดียเหลืออยู่เพียง 200 ตัว พบในอุทยานแห่งชาติ เคบูล ส่วนพันธุ์พม่ายังเหลือประมาณ 2,000-3,000 ตัวกระจายอยู่ทั่วประเทศโดยมีแหล่งขยายพันธุ์หลักอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแคตทิน ส่วนพันธุ์ไทยคาดว่ายังมีอยู่ในเทือกเขาพนมดงรักและในเกาะไหหลำ จำนวนประชากรไม่ทราบแน่ชัดแต่คาดว่าเหลือน้อยมาก ไอยูซีเอ็นจัดสถานภาพประชากรของละองและละมั่งไว้ในระดับเสี่ยงสูญพันธุ์ ไซเตสจัดให้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1

                              อ้างอิง  www.dusitzoo.org/index.php?option=com_content&task.